มาดูวิธีบำรุงและป้องกันสายตาโดยไม่จำเป็นต้องใส่แว่นมีอะไรบ้าง?

         

สวัสดีครับ การที่เรามีอายุมากขึ้นนั้นสายตาของเราอาจจะค่อย ๆ เสื่อมลงได้ ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็มีหลาย ๆ วิธีที่เราสามารถปกป้องและบำรุงการมองเห็นโดยไม่ใส่แว่นตาด้วยวิธีทางธรรมชาติได้

          Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ได้ประมาณการว่าในสหรัฐอเมริกาผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปกว่า 12 ล้านคนนั้นมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับการมองเห็น

  • มีผู้คนกว่า 3 ล้านคนที่มีปัญหาเรื่องการมองเห็นหลังจากการรักษา
  • มีผู้คนกว่า 8 ล้านคนที่มีปัญหาทางสายตาจากสายตาผิดปกติที่ไม่ได้รับการแก้ไข
  • มีผู้คนกว่า 1 ล้านคนที่มีอาการตาบอด

          อย่างไรก็ตาม การมีสายตาที่แย่เราไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุมาจากการที่เรามีอายุมากขึ้น ซึ่งวิธีที่ทางธรรมชาติและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันสามารถช่วยให้เราบำรุงดูแลสุขภาพของตาได้โดยที่ไม่ต้องใส่แว่น ซึ่งในบทความนี้เราจะมาดูกันครับ

แว่นตาป้องกัน

          อาการบาดเจ็บตาอาจจะเกิดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเราได้ เช่น งานบ้าน เล่นกีฬา การทำงานที่ต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างหรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย

          แว่นตาป้องกันสามารถป้องกันการเกิดการบาดเจ็บ ความเสียหาย และความระคายเคืองตาดวงตาจากการกระแทก เศษผง และสารเคมีได้ รวมไปถึง

  • แว่นตานิรภัย
  • แว่นตากันลม
  • หน้ากากอนามัย
  • กระบังหน้า
  • หมวกกันน็อค

โดยปกติแล้วแว่นตาธรรมดาทั่ว ๆ ไปไม่สามารถป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตาของเราได้อย่างเพียงพอและแว่นอาจจะแตกได้หากเกิดการกระทบมากเกินไปซึ่งยิ่งเป็นอันตรายต่อตาของเรามากขึ้น

แว่นกันแดด

          แว่นกันแดดไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันดวงตาของเราจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)

          การได้รับรังสี UV มากเกินไปอาจจะทำให้ดวงตาเกิดความเสียหายได้ รังสี UV ยังเป็นการเร่งปฏิกิริยาในการเกิดโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้อีกด้วย

  • ต้อกระจก
  • มะเร็งตา
  • ต้อเนื้อ

          ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของดวงตา ได้แก่

  • ชาวนา
  • ชาวประมง
  • นักเล่นกระดานโต้คลื่น
  • นักเล่นสกี
  • ผู้ที่ใช้เวลาอยู่กลางแจ้งหรือกลางแดดมาก

ในตอนที่เลือกซื้อแว่นกันแดด ควรเลือกแว่นกันแดดที่มีการปกป้องรังสี UV อย่างเพียงพอ และการสวมหมวกปีกกว้างก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการปกป้องดวงตาจากรังสี UV ได้

          สิ่งสำคัญที่เราควรรู้ก็คือรังสี UV สามารถทะลุผ่านเมฆได้ ไม่เว้นแม้แต่ฤดูหนาวที่มองไม่เห็นดวงอาทิตย์

การตรวจตาเป็นประจำ

          ตามที่ National Eye Institute ได้แนะนำวิธีเดียวที่เราจะมั่นใจได้ว่าดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่สมบูรณ์คือการตรวจโดยขยายม่านตาแบบครอบคลุม

          หมอตาจะหยอดยาหยอดตาลงในตาแต่ละครั้งเพื่อขยายม่านตาในระหว่างการตรวจ เมื่อม่านตาขยายออกทำให้แสงจะเข้าสู่ดวงตามากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้หมอมองเห็นจุดภาพชัด จอประสาทตา และเส้นประสาทตา และระบุโรคในดวงตาได้

          การตรวจแบบนี้สามารถช่วยหาโรคของตาที่เกิดขึ้นในระยะแรกได้ เช่น ต้อหินและจอประสาทตาเสื่อม

พักสายตาจากหน้าจอ

          การทำงานกับคอมพิวเตอร์หรือการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานอาจจะทำให้ตาล้าได้

          คนที่ใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์นาน ๆ อาจจะลองใช้กฎ 20-20-20 คือ ทุก ๆ 20 นาทีที่เราจ้องหน้าจอ ให้มองอย่างอื่นที่อยู่ข้างหน้าเราประมาณ 20 ฟุตเป็นระยะเวลา 20 วินาทีซึ่งช่วยลดอาการปวดตาได้

ควบคุมเบาหวาน

          คนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับตาก็คือภาวะเบาหวานขึ้นตาได้

          ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะค่อย ๆ ทำลายหลอดเลือดในจอประสาทตา โดยหลอดเลือดจะบวม หรืออุดตัน

          หากไม่ได้รับการรักษา เบาหวานขึ้นตาอาจจะนำไปสู่การมองไม่ค่อยเห็นและตาบอดในท้ายที่สุดได้ คนที่มีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแย่อาจจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ได้

          การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของน้ำตาลในกระแสเลือดอาจจะทำให้การมองเห็นของเราพร่ามัวได้ และเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดคงที่การมองเห็นก็จะกลับมาชัดเหมือนเดิม การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีและการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุก ๆ ปี สามารถช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตาได้

จัดการโรคเรื้อรัง

          นอกจากโรคเบาหวานการมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ก็สามารถนำไปสู่ปัญหาของการมองเห็นได้

          CDC ได้รายงานว่าผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปที่มีความบกพร่องทางสายตามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเรื้อรัง รวมไปถึง

  • ความดันโลหิตสูง
  • โรคหัวใจ
  • ไขมันในเลือดสูง
  • โรคมะเร็ง
  • โรคไตโรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคข้ออักเสบ
  • โรคตับอักเสบ
  • โรคหอบหืด
  • ภาวะซึมเศร้า
  • โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
  • ผู้มีปัญหาทางการได้ยิน

โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) ยังสามารถทำให้เกิดความบกพร่องทางสายตาและสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจอประสาทตาได้

     การเข้ารับการรักษาโรคเรื้อรังอย่างเหมาะจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับตา

วิตามิน

          จากการวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีนั้นดีต่อสุขภาพตา

          วิตามินเหล่านี้มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านการอักเสบที่อาจจะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมได้

          การรับประทานอาหารที่มีความสมดุลและมีความหลากหลายที่ประกอบไปด้วยผักและผลไม้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีได้ โดยแหล่งของวิตามินเหล่านี้ได้แก่

  • บร็อคโคลี
  • ส้ม
  • มะละกอ
  • มันฝรั่งหวาน
  • ผักโขม
  • แครอท
  • พริกแดง
  • ฟักทอง
  • อัลมอนด์
  • เนยถั่ว
  • เมล็ดทานตะวัน

จากการศึกษาได้แนะนำกรดไขมันโอเมกา 3 เช่น กรด Docosahexaenoic (DHA) กรด Eicosapentaenoic (EPA) ที่มีบทบาทต่อสุขภาพตาและลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกี่ยวข้องกับอายุได้

          อาหารที่อุดมไปด้วยโอเมกา 3 ได้แก่ ปลา ถั่ว และเมล็ดพืช เรายังสามารถซื้ออาหารเสริมโอเมกา 3 ผ่านช่องทางออนไลน์ได้อีกด้วย

แคโรทีนอยด์

          แคโรทีนอยด์นั้นมีอยู่ในจอประสาทตาและยังเป็นตัวช่วยให้การจำกัดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับดวงตาจากปฏิกิริยาออกซิเดชันได้

          จากวารสารที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2013 ได้ระบุว่า แคโรทีนอยด์ ลูทิน และซีแซนทิน มีความสำคัญต่อสุขภาพของดวงตา

          โดยลูทินและซีแซนทินนั้นมีอยู่มากในผักใบสีเขียว แต่เรายังสามารถรับประทานได้ในรูปแบบของอาหารเสริมซึ่งสามารถหาซื้อได้ทางร้านค้าออนไลน์

เลิกสูบบุหรี่

          ในทางวิทยาศาสตร์ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าการสูบบุหรี่นั้นไม่ดีต่อสุขภาพและอาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ คนอาจจะไม่ทราบว่าการสูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุในการเกิดโรคตาอีกหลายชนิด

          การสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ต้อกระจก และม่านตาอักเสบ รวมไปถึงยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตาอีกด้วย ควันบุหรี่ยังทำให้ตาเกิดการระคายเคือง ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการตาแห้ง การเลิกสูบบุหรี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงที่เกิดโรคตาเหล่านี้ได้

การมีสุขอนามัยที่ดี

          การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อที่ตาได้

          การล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสตาหรือสัมผัสคอนแทกต์เลนส์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติตาม การปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตคอนแทกต์เลนส์หรือแพทย์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน

          การแต่งตาแบบเก่ายังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อที่ตาได้ หากเกิดการติดเชื้อเราอาจจะต้องงดการแต่งตาถึง 3 เดือน และหากเกิดการติดเชื้อที่ตาก็ควรที่จะทิ้งและเปลี่ยนผลิตภัณฑ์แต่งตาทั้งหมด

รู้ประวัติครอบครัว

          โรคตาบางชนิดสามารถเกิดขึ้นผ่านทางพันธุกรรมในครอบครัวได้ เราอาจจะต้องคุยกับญาติเรื่องประวัติสุขภาพตาของพวกเขา เพื่อที่จะได้รู้และเตรียมพร้อมได้

          การรู้ประวัติสุขภาพตาของคนในครอบครัวสามารถช่วยให้เราเกิดความระมัดระวังได้ นอกจากนี้หากคนในครอบครัวมีประวัติในการเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับตา เราต้องแจ้งจักษุแพทย์เรื่องประวัติของครอบครัวด้วย โดยโรคตาที่สามารถติดต่อผ่านทางพันธุกรรม ได้แก่ โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ต้อกระจก ต้อหิน โรคเส้นประสาทตาอักเสบ สายตาสั้น

เขียนโดย Akiraz

KAIO

อ้างอิงจาก Shannon Johnson (2019) How to improve and protect eyesight without glasses, Available at: https://www.medicalnewstoday.com/articles/324635 (Accessed: 15th October 2021).

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *